Tuesday 30 April 2013

คนเมืองพลัดถิ่น

   
ยินดียิ่งแล้ว มิตรแก้ว สหายคำเข้ามาอ่านประวัติย่อๆ คลองน้ำไหลเหนือ ผมเคยทำมาครั้งหนึ่งในบล๊อคอีกอันหนึ่งแต่เนื่องด้วย จำระหัสเก่าไม่ได้เลยยกมาทำที่บัญชีอันนี้ครับยังไม่ได้เรียบเรียงอะไรเลยครับ คืบลากใส่แบบต้นฉบับมาอย่างไรก็อย่างนั้น  เชิญอ่านตามนี้เลยครับ  ด้วยความยินดี.

***ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องย้ายถิ่นฐาน ถ้าหากที่นั่นมีความอุดมสมบูรณ์ในความเป็นอยู่ และคลองน้ำไหลนี้คงจะไม่มีเรื่องไดๆให้เล่า. ข้อมูลประวัติคลองน้ำไหล ทั้งหมดนี้ได้รับความอนุเคราะจากท่านพระครูปีวชิรกิจ(ตุ๊อาวดม) วัดรวงผึ้งพัฒนา ต้องขอกราบมนัสการพระคุณเจ้ามา ณ ที่นี้ด้วย หวังอย่างยิ่งว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อเยาวชนรุ่นหลังที่มีความสนใจทางด้านประวัติความเป็นมาของแผ่นดินที่เราอยู่อาศัยมาทุกวันนี้มีความเป็นมาอย่างไร ข้อความทุกตอนที่ผมได้อ่านทำให้อดคิดถึงตอนเป็นเด็กไม่หาย

 เพราะมันทำให้เกิดความทรงจำของผมกลับมาใหม่ราวกับว่าเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นมาไม่นาน

.
 ***หลวงพ่อคำมูล อินฺทริวิชโย อดีตเจ้าอวาสวัดพระบาทแม่ไทย ตำบลบ้านบอม อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง และ ผู้นำก่อตั้ง  ประวัติความเป็นมาบ้านคลองน้ำไหลหมู่บ้านคลองน้ำไหล ตั้งอยู่ที่ตำบลคลองน้ำไหล อำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร.   ปี พ.ศ. ๒๕๐๐
ภาพถ่ายคณะบุคคลที่มาบุกเบิกก่อตั้งบ้านคลองน้ำไหล
แถวหนี่ง ป่ออุ้ยลุน วงศ์เนตร ป่ออุ้ยหวัน โอ้ทอง ป่ออุ้ยตา ไชยวงศ์สาย หลวงป่อคำมูล อินทะวิชัยโย ป่ออุ้ยต้น สุวรรณนำปน ป่ออุ้ยก๋วน สุวรรณนำปน ป่ออุ้ยสร้อย ธิยานันท์ แถวสอง ป่ออุ้ยป้อ สมนำปน ป่ออุ้ยใจ ปันชัย ป่ออุ้ยจันทร์ ฟองธิวงค์ ป่ออุ้ยคำ เหล็กสมบูรณ์ ป่ออุ้ยเป็ง สุใจ๋ ป่ออุ้ยแสน วรรณจักร แถวสาม ป่ออุ้ยใจ หารป๊ก ป่ออุ้ยป๊อก ดีวงค์สาย ป่ออุ้ยสุข ใจทองอุ้ยสา ธิยานันท์ อุ้ยบุญทา ทองสุวรรณ ลุงปุ๊ด ฟ่อนชมภู .
จากคำบอกเล่าของลุงหนานจันทร์ ลุงหนานจั๋นทร์ ฟองธิวงค์ 2469-2555 ในปี พ.ศ. 2500 ข้าพเจ้ากับเพื่อนๆ ได้อพยพถิ่นฐานมาจาก ตำบลบ้านบอม อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง ซึ่งบริเวณคลองน้ำไหลนี้ เป็นอำเภอที่อยู่ห่างไกลจากตัวจังหวัดประมาณ 40 กิโลเมตร โดยได้อพยพออกจากลำปาง เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 เวลา 08.00 น. ตรงกับวันขึ้น ๔ ค่ำ เดือน 5 เหนือ (เดือน 3 ใต้) วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ พวกข้าพเจ้าออกจากบ้านที่ข้าพเจ้าอยู่ ไปขึ้นรถในตัวเมืองลำปาง ซึ่งเป็นเวลาพลบค่ำพอดี จึงได้ชวนกันไปพักที่ทุ่งนาริมเมือง (ชานเมือง) พอรุ่งเช้าขึ้นวันใหม่ กินข้าวกินปลากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงพากันออกเดินทางไปที่ท่ารถสายใต้ ซึ่งในสมัยนั้นบริษัทถาวรฟาร์ม และบริษัททันจิตต์ทัวร์ ยังไม่มีกันเลย จะล่องใต้แต่ละครั้งต้องวิ่งเต้นหารถไปกันแทบแย่ มีก็เป็นพวกรถบรรทุกสิ่งของ แบบตัวถังกระบะ พวกข้าพเจ้าจึงได้ว่าเหมา (จ้างเหมา) รถกระบะของแม่เลี้ยงชิ้น จังหวัดตากไว้และได้ตกลงราคากันให้ค่ารถคนละ 50 บาท พอได้ขึ้นนั่งบนรถแล้ว พ่อหกล้อก็พาวิ่งมาตามทางผ่านวังพร้าว เข้าสู่สบปราบ กว่าจะถึงดอนชัยเขาเรียกว่าเถิน ใช้เวลาเกือบ 5-6 ชั่วโมง ลองคิดดูซิว่าพวกข้าพเจ้าออกจากจังหวัดลำปางมา ตั้งแต่เวลา 08.00 น. มาถึงดอนชัยก็บ่ายโมงพอดี เพราะทางมันแคบมาก โชว์เฟอร์ ก็กลัวจะเกิดอันตราย ต้องค่อย ๆ คานมาพอถึงบ้านดอนชัย พอพักกินข้าวกินปลากัน เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มออกเดินทางต่อไปผ่านแม่พริก สลิดยางองค์ (บ้านแม่สลิดในปัจจุบัน) และดงสามสิบ แม่สำ แม่ถอด ตลอดถึงจังหวัดตาก ใกล้พลบค่ำพอดี พวกข้าพเจ้าจึงได้ขออาศัยรถบรรทุกเก่า ๆ คันนั้นเป็นที่หลับนอนตลอดทั้งคืน ส่วนโชเฟอร์ เจ้าของรถได้ไปพักที่บ้านของเขา พวกข้าพเจ้าก็หลับนอนบนรถจนถึงรุ่งเช้า รุ่งอรุณของวันใหม่ กินข้าวกินปลาเสร็จแล้ว โชเฟอร์ก็ได้ขับรถล่องมากำแพง ออกจากจังหวัดตาก ตั้งแต่ 08.00 น. มาถึงปากอ่างเวลาประมาณ 15.00 น. ได้มาอาศัยอยู่กับปางรถ (อู่รถ) ของท่านกำนันถมอิน เพราะท่านเป็นพ่อเลี้ยงทำไม้ ได้สร้างที่พักคนงานไว้กว้างขวางมาก ข้าพเจ้ากับพวกได้มาพักอยู่ที่ปางของท่านได้ 3 วัน พอดี เหตุที่มาค้างอยู่ที่นั่นนานเพราะหารถที่จะบรรทุกเสบียงไม่ได้นั่นเอง พวกข้าพเจ้าพยายามหารถที่จะเข้าดงก็ยากแสนยาก ผู้ใดที่เป็นเจ้าของรถ ก่อนจะเข้าดงต้องเตรียมอะไรต่อมิอะไรกันเยอะแยะ หม้อข้าว หม้อแกง พริกหอม กระเทียม กระปิ น้ำปลา ทุกอย่าง เพราะไม่แน่ใจว่าจะค้างกี่วันกี่คืน ลูกล้อรถก็เอาโซ่มาพันกันลื่น พวกข้าพเจ้าหารถที่ไหนไม่ได้จึงไปอ้อนวอนครูสมพงษ์ พนมวาท ท่านได้ลาออกจากครูมารับจ้างบรรทุกไม้เข้าออกจากดงเสมอ พอดีท่านก็จะเข้าดงไปบรรทุกไม้ที่คลองน้ำไหล พวกข้าพเจ้าจึงได้ว่าจ้างท่าน เป็นราคาอยู่หนึ่งพันห้าร้อยบาท เข้าถึงคลองน้ำไหล พอถึงเวลาเจ็ดโมงเช้าท่านก็เอารถมาใส่ของ เป็นต้น ว่าข้าวสาร มีด เลื่อย ขวาน เครื่องนุ่งห่ม และคนอีกสามสิบคน ท่านทำตัวถังรถแบบเอากระดานไม้ตีปูพื้นส่วนด้านข้างก็เอาไม้ขัดกันทำอย่างง่าย ๆ พวกข้าพเจ้าได้ขึ้นจนหมด ท่านก็ออกรถมาตามทางในดงส่วนที่ถางก็ถางกันไป ตั้งแต่ปากอ่างเข้าไปล้วนแต่เป็นป่าดงดิบทั้งนั้น สนุกเป็นครั้งน้อยใจเป็นคราว เมื่อรถผ่านป่าบุกเข้าดง รถแล่นเร็วบ้างช้าบ้างพอเข้าเขตปางเรือก็พักกินข้าวกลางวันกันที่นั่น พอเสร็จเรียบร้อยกันแล้ว โชเฟอร์ก็ขับรถออกจากปางเรือมุ่งหน้าเข้าสู่หนองน้ำขุ่น และได้พักกันที่หนองน้ำขุ่นนั้น นอนบนรถนั่นแหละ ใช้ผ้าขาวม้าปูกับพื้น บางคนนอนกับพื้นดินอาศัยท่อนไม้เป็นหมอนนอนกันอย่างสบาย ข้าวมื้อเย็นวันนั้นไม่มีอะไรเลย กินแต่ข้าวที่เหลือมาจากปางเรือ บางคนก็กินบางคนก็ไม่กิน นอนหลับกันสนิทเพราะเหนื่อยอ่อนจากการกระแทกของรถบรรทุก รุ่งขึ้น ก็พากันหุงข้าวทำอาหาร อาหารก็ไม่มีอะไร มีแต่น้ำพริกจิ้มกับผักกูดและมะเขือพวงเท่านั้นก็กินกันอย่างอร่อย เพราะคนกำลังหิวโหยมาก กินข้าวเสร็จแล้ว โชเฟอร์ก็ขึ้นขับรถมุ่งหน้าไปทางคลองใหญ่ ปางของตารุน กิตติขจร แกเป็นใหญ่ในที่นั้นป่ายางของแก่ตามดงคลองใหญ่เป็นของแกหมด พอมาถึงคลองใหญ่ก็พักรถ เพราะเครื่องมันร้อนจนหม้อน้ำเดือดพล่าน ออกมาพักกันอยู่ที่นั่นประมาณหนึ่งชั่วโมง แต่ไม่มีนาฬิกากันหรอก มีแต่มีด และขวนเท่านั้น เขาว่าโมงก็ว่าโมงไปตามเขา พอเครื่องยนต์เย็นดีแล้ว พ่อหกล้อก็ออกวิ่งไปตามทางที่คดเคี้ยวผ่าดงดิบมุ่งหน้าเข้าสู่คลองปินโตจนถึงคลองน้ำไหล (คลองน้ำตาไหลเขาก็เรียก) พวกที่เรียกคลองน้ำตาไหลก็พวกข้าพเจ้านั่นแหละที่ตั้งชื่อกันเอง เพราะกว่าจะมาถึงก็ทำเอาน้ำหูน้ำตาไหล พอเข้าถึงคลองน้ำไหลก็มีปางอยู่ติดกับทางเกวียน เขาเรียกว่าปางพรานแต๋ว ซึ่งเป็นพรานป่ามาอาศัยยิงเก้ง กวาง ค่าง ช้าง เสือ หมี แล้วบรรทุกล้อมไปขายที่นครชุม แกถืออาชีพนี้มานานกว่า 20 ปีแล้ว ที่พักของแกก็ปลูกกระท่อมหลังเล็ก ๆ โดยมากพวกที่เข็นน้ำมันยางมาพักกับแกไม่มีขาด ถ้าพวกล้อมากันที ล้อเกวียนประมาร 20-30 เล่ม ดูเต็มหน้ากระท่อมของแกหมดพวกล้อเกวียนก็อาศัยซื้อเนื้อกับแกออกไปขายบ้าง พรานแต๋วที่ว่านี้ ดูเหมือนแกจะมีคาถาอาคมวิเศษ ตามที่ยายจันทร์เมียของแกเล่าให้ฟังว่า แกสะกดรอยเท้าสัตว์ให้มาหาแกได้ พวกล่าสัตว์ที่เข้ามาล่าสัตว์ในเขตคลองน้ำไหลจะต้อมาขอกับแกก่อนถึงจะได้ ถ้าขอตัวเดียวก็ได้ตัวเดียว ถ้าขอสองก็ได้สองถ้าหากแกไม่อนุญาตเป็นอันว่าวันนั้นยิ่งไม่ได้เลย พวกข้าพเจ้ามาถึงก็ได้เก็บข่าวของลงจากรถ เสร็จแล้วก็ขึ้นไปบนกระท่อมของพรานแต๋วก็เล่าเหตุการณ์ให้แกฟังว่า จะมาขอฝากเนื้อฝากตัวขออาศัยทำไร่ทำนาและอยากได้ที่ดินทำกิน เพราะทางลำปางที่ดินแคบมากล้วนแต่เป็นภูเขา ทำอะไรก็ไม่ได้ผล เมื่อแกรู้เรื่องแล้วก็ดีใจ แกบอกว่าอยากได้เพื่อนเหมือนกัน ลุงก็เคยชวนพวกล้อเกวียนน้ำมันยางเหมือนกันว่าเรามาจับที่ทำนากันเถอะ พวกล้อเกวียนหรือคนกำแพงเขาก็ไม่เอากัน เพราะเขาก็มีนากันอยู่แล้ว เที่ยวรับจ้างเถ้าแก่อยู่ตลอดปี เขาว่าเดินล้อสบายกว่าจะมาถางป่า ทำไร่ทำนาเสียอีก เออ พวกท่านมากันเยอะแยะอย่างนี้ก็ดีแล้ว ที่มีถมไปแต่ขออย่าทำลายป่ายางเขา เพราะจะแย่งอาชีพเขา พวกข้าพเจ้าก็ดีใจและรับปากแกไปว่า จะไม่ทำสิ่งใดที่เดือดร้อน แก่พวกเขาเลย พวกข้าพเจ้าจะขออยู่ใต้ต้นมะขามของลุงนี้แหละจนกว่าจะทำกระท่อมเสร็จ แกก็พูดว่า เอาเฮ้อะ ไม่เป็นไรอยู่กันอย่างสบาย ๆ เถอะ นั่นคลอง แก่ชี้ให้ดูถ้าอดปลากันก็ลงไปหากันมีเยอะแยะมีปลาดุก ปลาช่อน ตะพาบ เต่า ก็ตามป่าพงนั้น ไปหาเอาไม่อดหรอก พวกข้าพเจ้าเมื่อได้รับอนุญาตจากแกแล้ว บ้างก็ไปหาปลา บ้างก็ทำที่อยู่ บ้างก็ไปเอาไม้มาจักตอก บ้างก็ไปหาเกี่ยวหญ้าคา บ้างก็เอาใบตองกล้วยป่ามาทำหลังคา จัดกัน 4-5 คน จนเสร็จ กระท่อมละสี่ห้าคน กระท่อมนี้ไม่ได้ยกพื้น คือเอาฟางมาปูกับดินก็เป็นอันใช้ได้ เป็นที่อยู่ที่นอนกันดีถมไป พอได้ที่อยู่อาศัยกันแล้วก็มาปรึกษากันว่า ใครเป็นใหญ่หรือดูแลทุกข์สุขในเขตคลองน้ำไหล พ่ออ้ายก็เอ่ยขึ้นมาทันทีว่ามีผู้ใหญ่เชียงฝันสมัยลุงอยู่โป่งน้ำร้อน เคยเดินไปบนดอย ก็เคยไปพักกับแกบ่อย รู้จักกันดี พวกข้าพเจ้าก็พูดต่อไปว่าถ้าอย่างนั้นเราจะต้อไปเรียนท่านผู้ใหญ่เชียงฝันให้รู้เรื่องคงดีแน่ เพื่อนบ้านในป่าใหญ่ รุ่งเช้าวันใหม่ ก็พากันเดินไปหาท่านผู้ใหญ่ ออกจากป่าที่พวกข้าพเจ้าอยู่ไปถึงบ้านผู้ใหญ่เชียงฝัน ก็เที่ยงวันพอดี พอใกล้ก็จะถึงเขตบ้านผู้ใหญ่ ก็ไปเจอหมูแม่ลูกอ่อนหากินอยู่ตามริมทาง บางคนว่าหมูป่า บางคนก็จะเตรียมยกปืนขึ้นไหล่พวกคนแก่ก็ตะโกนด่าว่า หมูบ้านอย่ายิงนะเดี๋ยวผู้ใหญ่จะโกรธเอา ดังนั้นหยุดยิง บางคนก็พูดว่า หมูบ้านทำไมไม่เห็นมีบ้านคนอยู่ พอเดินไปอีกประมาณหนึ่งกิโลเห็นจะได้ก็มองเห็นกระท่อมหลังเล็ก ๆ หลังหนึ่งมีเครือเถาวัลย์ขึ้นเต็มบนหลังคาไปหมด พ่อแก่ก็ว่า นี่แหละบ้านพวกเขา พวกนี้เขาเป็นกระเหรี่ยงไม่ชอบอยู่ที่โปร่ง เพราะผีเขาไม่ชอบถ้าอยู่พอสามปีป่าโปร่งเขาก็ต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น ป่าทึบแค่ไหนก็ยิ่งชอบ เขาว่าหากินง่าย พวกข้าพเจ้าคุยกันไปตลอดทางพักเดียวก็เข้าไปถึงสนามบ้านผู้ใหญ่ ดูหมูหมาตามใต้ถุนบ้านเริ่มเห่ากันเมื่อเห็นคนแปลกหน้า ไม่รู้ว่าเสียงหมูเสียงหมาเสียงกระเหรียงอะไรจอแจกันไปหมด พ่อใหญ่เชียงฝัน โพธิมา ก็ค่อย ๆ เหลือบไปเห็นลุงอ้ายเข้า แกก็ร้องออกมา อ้อตาอ้ายเองหรือจะพาพวกไปไหนกัน ลุงอ้ายแกก็ตอบว่า ข้าพาพวกมาก็เมื่อสมัยเราไปบนเขาด้วยกัน ยังเคยมาขอที่พักบ้านท่านบ่อยไปเห็นว่าทำเลตรงนี้ดีคือยากจะได้ไว้เป็นที่ทำนาสักผืนหนึ่ง ขอท่านผู้ใหญ่จงพาพวกข้าไปดูสักวันไม่ได้หรือ ผู้ใหญ่เขาก็เอ่ยขึ้นมาว่า จะเป็นไรไปก็ที่มีเยอะแยะข้าก็อยากได้เพื่อนมาอยู่หมู่บ้านนี้เหมือนกัน แต่พวกกระเหรี่ยงก็มีเขาไม่สนใจกันเลยชอบอพยพย้ายบ้าน ขึ้นไปบนเขาเรื่อย ๆ ไม่ชอบอยู่เป็นที่ เขาว่าป่านี้ถ้าเตียนไปหากินยากพากันบ่นไปตาม ๆ กัน ไม่เข้าท่าเลย “ออมื้อฮา”แกเรียกเมียของแก เอาตีนช้างที่เตาไฟมาให้พวกลุงเขา กิน มั่งซิเมีย เมียแกก็ยกเอาเท้าช้างที่เขายิงมาได้ไม่กี่วันมาสู่พวกข้าพเจ้า เอ้าเชิญชิมดูซิกินกันเล่น ๆ นี่แหล่ะไม่ต้องเอาข้าวหรอก พูดเสร็จแกก็ฉีกเนื้อออกมาเป็นยวง ๆ แล้วกินให้ดู พวกข้าพเจ้าเห็นผู้ใหญ่กินก็มองหน้ากันไปมาเพราะไม่เคยกินมาแต่ก่อนสักที พอดีนายชุ่มก็ขยับเข้าใกล้แล้วฉีกเนื้อออกมากิน พวกที่เหลือก็ตัดสินใจว่าคงไม่เบื่อหรอกน่า เขากินได้เราก็ต้องกินได้ลูกผู้ชายรังเกียจอะไรกัน พูดเสร็จก็ตั้งหน้าตั้งตากิน ผู้ใหญ่ก็เอ่ยขึ้นมาว่าเอาละพรุ่งนี้ข้าจะลงไปหาที่ปางยายจันทร์ก็แล้วกัน จะพาพวกแกไปดูที่ ส่วนวันนี้คงไม่ทันหรอกเพราะเย็นมากแล้ว ขอให้พวกแกกลับไปก่อนผู้ใหญ่ คุยกันแค่นั้นเป็นว่ารู้เรื่อง พวกข้าพเจ้าก็พากันกลับ ขากลับเดินตัดดงดิบมาได้ยินเสียงช้างอยู่ตามป่าซากมันยอกกันเสียงเอะ ๆ เฟ ๆ เสียงน้อยเสียงใหญ่ ตามบนกิ่งไม้ก็เป็นพวกชะนีร้องโก๋โก อีค่างด่างหรือหมาใน นกกก นกเงือกร้องก๊ก นกเป้า นกงม ร้องเหมือนคนคร่ำครวญเพราะเป็นเวลาเย็นมากแล้ว เป็นธรรมดาของพวกสัตว์ป่า จำพวกหากินเวลากลางคืนก็ออกมาจากป่าทึบมาหากินตามป่าเตียนพวกช้างป่าออกมาหาท่าน้ำลำธาร กวาง เก้ง ระมั่ง กระทิง งัวแดง แรด กะโจ้ กะจง ก็โผล่ออกมาจากป่าพงมาหากิน ร้องเสียงสนั่นไปตามป่า ส่วนจำพวกนก บ้างก็อยู่ตามต้นไทรหากินลูกหว้า ลูกมะค่า กระท้อน คอแลน (ลิ้นจี่ป่า) มะปราง มะไฟ กล้วยป่า ลูกหวาย ลูกไม้ยุมเหยา (ไม้ป่าชนิดหนึ่ง) ลูกไม้พวกนี้นกขุนทองชอบกิน ร้องเสียงเหมือนคนก็มี บางที่เราฟังไม่ถนัด เหมือนคนร้อยทักและคร่ำครวญ ผลไม้และสัตว์มีทุกอย่างในป่าดงดิบ สมกับคนสมัยโบราณว่าป่าหิมพานต์ จริง ๆ ไม้ที่ไม่รู้จักชื่อและไม่เคยเห็นมาก่อนก็มี สัตว์ที่ไม่เคยเห็นมาแต่เล็ก ๆ สมัยอยู่ลำปางก็มีมาก พวก ข้าพเจ้าเดินมาตามทางพอเจอช้างก็ร้องตะโกน ขึ้นมันก็วิ่งหนีดูเหมือนที่มันวิ่งหนีอะไรสักอย่าง เสียงวิ่งของมันฮึมไปหมดพวกข้าตกใจอกสั่นขวัญหายไปหมด เพราะไม่เคยเห็นมาแต่ก่อน พอมาถึงปางยายจันทร์ ก็พลบค่ำพอดี พวกที่อยู่ปางก็เตรียมข้างปลาอาหารไว้คอยถ้า จุดใต้จุดกระบอกน้ำมันยางไว้อย่างสว่างจ้าทั่วไปหมดพอกินข้าวเย็นแล้วก็พักหลับนอนกัน บางกระท่อมก็ก็ร้องเพลง บางกระท่อมก็คุยกันเรื่องที่เรื่องทาง บางกระท่อมก็ไม่เอาไหนหลับสนิท อ้อขอคุยเรื่องขี้ใต้หรือกระบอกน้ำมันยางให้ฟังสักหน่อย ขี้ใต้นั้นพวกที่ทำน้ำมันยางเขาเอาไม้กระพ้อมาหล่อแล้วใช้ปอมัน เขาเรียกว่าปอขาว มัดอย่างมัดข้าวต้มยาวประมาณหนึ่งฟุต เขาเอาไม้ที่ผุ ๆ ในป่ามาบดให้ละเอียดเอาผสมกับน้ำมันยางคลุกให้เข้ากัน แล้วจึงห่อเป็นห่อ ๆ มัดเป็นมัด ๆ มัดหนึ่งก็มี 10 อัน ด้วยกันเมื่อเราจะตาม (จุด) ก็ตามทีละอันเวลาจุดก็จุดง่ายมาก พอหยิบออกมาแล้วก็คลี่หัวจุดไฟที่หัวนั้นแค่นั้นก็จะเป็นตะเกียงหรือแค่ (คบ) ขึ้นมาแล้วก็เอามาผูกกับเสากระท่อมพอนาน ๆ ก็ใช้ไม้เขี่ยหรือขยี้ขี้เถ้าออกเท่านั้นส่วนกระบอกน้ำมันยางนั้น ก็ใช้กระบอกไม้ไผ่มาเหลาบาง ๆ แล้วเทน้ำมันยางใส่ให้เต็มใช้เศษผ้าแหย่ไว้ตรงปากกระบอกแล้วจุดไฟก็สุกสว่าง ระวังอย่าให้สะเทือนแรงเพราะมันมักโค่นบ่อย ใช้สองอย่างนี้แหละทำให้สว่างเวลากลางคืน ส่วนน้ำมันก๊าดไม่ต้องถามหาเลยเพราะในดงมันหายากเหลือเกิน อู่ข้าว อู่น้ำ ขอย้อนไปถึงผู้ใหญ่เชียงฝันก่อน พอรุ่งเช้าวันใหม่ประมาณสองหรือสามโมงแกก็มาถึงปางยายจันทร์ที่ผมอยู่ แกมาแบบเที่ยวป่าชัด ๆ บนไหล่ของแกมีปืนลูกซองแฝดดูท่าทางของแกโออ่าเดินเข้ามาที่ปางก็ร้องทักว่ากินข้าวเสร็จกันแล้วหรือยังตาอ้าย พวกข้าพเจ้าก็ลุกขึ้นตอบท่านโดยเคารพว่าเรียบร้อยแล้วครับ แล้วมานั่งในกระท่อมแกก็เอ่ยขึ้นว่า ป่ามันรกมากน่ะ ต้องเตรียมมีดไปหลาย ๆ เล่มเผื่อจะไปติดป่าซากเข้า ถ้าหากติดป่าซากละก็เจ้าพระคุณเอ๋ยต้องนอนใต้ต้นยางแน่ ๆ พอท่านบอกอย่างนั้นพวกข้าพเจ้าก็พากันเตรียมห่อข้าวห่อปลาเตรียมมีดเหรียญไปกันคนละเล่มทุกคน พร้อมแล้วก็ออกเดินทามมุ่งหน้าไปทางคลองกระแบกเดินตามทางที่พวกตักน้ำมันยางมือแกก็ชี้ไปเรื่อย ๆ ตรงนั้นเป็นป่าซาก ตรงนั้นเป็นหนอง ตรงนั้นเป็นบุ่ง ตรงนั้นเป็นคลอง เช่นคลองน้ำดิบคลองกระแบกใหญ่ คลองกระแบกน้อย แกว่าของแกไปเรื่อย ๆ เจ้าพระคุณเอ่ยทางมันรกจริง ๆ ไม่มีช่องไม่มีรูเลยทึบไปหมดถ้าเราเดินไปด้วยกันเกิดปวดท้องขึ้นมา ต้องหลีกให้พวกข้างหลังไปก่อน พอพวกพ้นกันไปหมดแล้วก็เอามันตรงกลางทางนั่นแหละ จะหาช่องเข้าไปถ่ายในป่ามันไม่ทันการแน่ ๆ และถ้าเป็นป่าหวายก็หวายทั้งนั้น ถ้าเป็นป่ากล้วยก็กล้วยล้วน ๆ ถ้าเป็นป่าแหย่งก็แหย่งทั้งหมด แกก็พาเดินไปตามทางที่คดก็คด ขึ้นขอนไต่ขอน ถ้าไปไม่ไหวก็ใช้มีดเหรียญถางกันไปพอออกจากปางที่พวกข้าพเจ้าพักก็ไปถึงตีนเขาม่อนเห็ดถอบ ข้าพเจ้าประมาณดูแล้วยี่สิบกิโลเห็นจะได้ดูเหมือนทางไกลที่สุดเพราะทางคดนั่นเอง พอโผล่ขึ้นตีนเขาผู้ใหญ่เชียงฝันก็หันหลังกลับมาบอกพร้อมชี้นิ้วให้ดูแล้วพูดว่าใช่ที่นาทั้งนั้นมองจากเขาลงไปซิ พวกข้าพเจ้าก็มองดูเหมือนอย่างแกพูดไม่มีผิด เพราะมองได้จากที่สูง ลงที่ต่ำสุดลูกหูลูกตา (เหมือนเขาว่าปาดคิ้วตาขว้าง) พวกข้าพเจ้าก็ดีอกดีใจว่าเราคงจะได้ที่ดินผืนใหญ่ผืนนี้เป็นที่ทำกินสืบต่อลูกหลานของเราไปในภายภาคหน้าเราจะไม่อดเหมือนที่อยู่ลำปางอีกแล้วขอให้ขยันหมั่นเพียรเหมือนกันทุก ๆ คนความจนจะมาสู่พวกเรายากแน่ ๆ มีแต่ความร่ำรวย เวลากินข้าวกลางวันที่ตีนม่อนเห็ดถอบนั่นเอง พอกินอิ่มเสร็จแล้วก็สูบบุหรี่ควันกลบไปตามป่าคุยกันพลาง ๆ บางคนก็เอนหลังลง บางคนก็พิงต้นไม้ พวกคนเฒ่าคนแก่ก็จับกลุ่มคุยกันกับผู้ใหญ่เชียงฝันตามประสาคนแก่ พอพักผ่อนกันนามพอสมควรแล้ว ลุงผู้ใหญ่ก็เอ่ยขึ้นว่า ข้าจะกลับตามตีนเขานี่แหละเพราะมันกงดีขอให้พวกท่านกลับตามทางที่เรามา พอสั่งลากันเรียบร้อยแล้วพวกข้าพเจ้าก็กลับสู่ปางที่พักหาอาหารกันเรียบร้อยแล้ว ก็มืดพอดี บางคนก็พักผ่อน บางคนก็ปรึกษาหารือกันว่า พรุ่งนี้เราจะต้องแผ้วถางป่ากัน เราจะถางรวมกันไปก่อนพอถางเสร็จแล้วเผาเรียบร้อยแล้วเราจึงค่อยแบ่งกัน คนละล๊อก ๆ ต่างคนต่างเห็นพร้อมกันหมด ต้นยางนาสมัยก่่อนมีให้เห็นระรานตา รุ่งเช้าวันใหม่ต่างคนก็ต่างเตรียมพร้อมกันออกถามแผ้ว ตั้งแต่ไร่นายเจ (เดี๋ยวนี้เป็นที่นาของนายบุญ นางหลง) มาตลอดจนถึงปางยายจันทร์ (ปัจจุบันเป็นนาของนายก้อน) อุตสาหะทำงานทุกวัน กลางวันแท้ ๆ มองไม่เห็นอากาศเลยเพราะป่าทึบมีแต่รอยช้าง รอยเก้งกวาง กระโช่ รอยเท้ามีทั้งรอยเล็กรอยใหญ่ รอยกวางเหมือนกับรอยวัวอยู่ในคอกเรานั่นแหละ ชะนีอีค่าง ก็เต้นแหวกอยู่ตามพุ่มไม้ พอเย็นก็พากันเลิกงานมายังปางช่วยกันคนละไม้คนละมือหุงหาอาหารและพักผ่อนกันอย่างนี้เป็นประจำ พวกข้าพเจ้ามาแพ้วถางป่าอยู่เดือนหนึ่งเต็ม ๆ สาเหตุโดยอากาศไม่ปลอดโปร่งนี่เองจึงทำให้เกิดไข้ป่ากัน (สมัยนี้เรียกว่าไข้มาลาเรีย) คือมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ร้อน ๆ หนาว ๆ ปวดหัวเป็นกำลัง หยูกยาก็ไม่ค่อยจะมีรักษากันถ้าคนไหนป่วยคนนั้นต้องอยู่เฝ้าปาง เสบียงก็หมดแผ้วถางก็หยุด จึงปรึกษากันว่าพวกเราต้องกลับไปเตรียมข้าวของกันมาใหม่พร้อมทั้งเอาพืชมาปลูกในไร่ของเรา ตอนนี้อะไร ๆ ก็ขาดหมด อีกอย่างหนึ่งก็เกิดไข้ป่ากันเยอะพวกเราจำเป็นต้องไปรักษากันก่อน เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว บางคนเงินค่ารถกลับลำปางก็ยังไม่มีพวกที่มีก็รอพวกที่ไม่มีออกไปรับจ้างตัดหวายโปร่ง รับจ้างโนไม้ให้เถ้าแก่สูน ตั้งแต่เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ไม่เคยโค่นต้นไม้ใหญ่ขนาดยี่สิบสามสิบกำ ข้าพเจ้าพึ่งได้มาโค่นเสียครั้งนี้แหละเป็นต้นไม้ตะเคียนด้วย เมื่อโค่นลงแล้วพวกข้าพเจ้าไปยืนอยู่ตรงหน้าสกัดของมันมองไม่เห็นหัวเลยก่อนที่จะลงมือโค่นกันต้องเตรียมอะไรกันเยอะแยะ 4 คนต่อหนึ่งต้น บ้างก็พันเครือเถาวัลย์ออกจากโคนต้น บ้างก็หาไม้คาดรั้ง บางทีวันหนึ่งไม่ได้โค่นก็มัวแต่คาดรั้งและแผ้วถางตามริมโคนต้น ไม่เคยเห็นเครือเถาวัลย์ใหญ่ขนาดสองกำสามกำจะขึ้นคลุมเต็มไปหมดกี่ปีก็ไม่รู้ ถ้าพวกเราตัดแต่เช้าบ่ายสองโมงสามโมงจึงโค่นได้ ตอนดึงเลื่อยก็ดึงข้างละสองคนจึงจะไหว เลื่อยก็ใช้เลื่อย 8-10 ฟุต พอดึงเลื่อยสุดจะมองเห็นฟันเลื่อยโผล่ออกมาแค่สองสามซี่เท่านั้นเอง ต้องออกกำลังกันเหงื่อออกเหมือนกับอาบน้ำ ถ้าดึงไม่ไหวก็เอาเครือเขาหรือผ้าขาวม้าผูกที่เลื่อยแล้วก็ดึง ครึ่งวันค่อนวันจึงจะโค่นได้ต้นหนึ่ง ก็ใช้เวลาสามวันพอดี คือคาดรั้งถากถางบริเวณโคนต้นหนึ่งวัน ดึงเลื่อยตัดหนึ่งวัน ตัดทอนกิ่งอีกหนึ่งวัน จึงจะเห็นเงินร้อยสองร้อยบาท พวกข้าพเจ้าตัดได้ไม่กี่ต้นเอง พอได้เงินค่ารถก็เลิกตัดเพื่อที่จะกลับลำปาง ตอนนี้ต้องออกเดินทางกันตั้งแต่เช้ามืด จากคลองน้ำไหล เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2500 ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน 7 เหนือ (เดือน 5) ได้อุตสาห์เดินตามทางเกวียนหาบของกินของใช้เอาไปฝากลูกเมีย บางคนก็เอาหน่อหวายโปร่งสามสี่หางฝักมีดหวายสามสี่ฝัก มะปรางสามสี่กิโล ปลาย่างปลาแห้งและของอีกเยอะแยะถ้าประมาณคงจะสามสิบกิโลเห็นจะได้ หาบเดินตลอดทั้งวัน ถ้าเป็นพวกท่านจะรู้สึกอย่างไรบ้าง ความมานะของพวกข้าพเจ้าเอาจนเป็นผลสำเร็จ เดินกันไปคุยกันไป นายชุมชักโมโหขึ้นมาเพราะอากาศร้อนมาก หาบของหนักก็หนักมีแต่รถเท่านั้นแหละที่จะย่นระยะทางให้มันสั้นได้ ทางบ้าบออะไรนี่มันไกลฉิบหาย นายแสนก็เอ่ยขึ้นมาว่า อย่าบ่นไปเลยชุ่มพวกเรามันนักสู้ตายนี่นา ถ้าไปถึงบ้านกลัวอันเดียวเท่านั้นแหละ นายชุ่มย้อนถามทันทีว่า กลัวอะไรวะ นายแสนตอบว่า กูกลัวควันไฟมันจะกลบหลังคาด้านหลังเท่านั้นแหละ หมดท่าไม่ได้ล่อเลย เมื่อนายแสนออกปากมาอย่างนั้นก็หัวเราะก้องไปทั้งดงไม่ว่าคนเฒ่าคนหนุ่ม พากันยิ้มไปด้วย เพราะกิเลสตัณหาของเรามันย่อมติดอยู่ในสันดานทุกคนไป ท่านเข้าใจความหมายของนายแสนหรือเปล่า ถ้าเปล่านั้นข้าพเจ้าจะบอกให้ คือว่านายแสนพอไปถึงบ้านเขากลัวเมียของเขาอยู่ไฟเสียก่อนกลัวไม่ได้นอนกับเมียความหมายของเขามีกันอย่างนั้นแหละ ตลอดวันเดินทางกันลัดป่าดง พอโผล่เข้าปากอ่าง ก็ย่ำเข้าสองทุ่มพอดี เห็นไฟรถที่วิ่งบนถนนมีไฟเขียวไฟแดงพ่ออ้ายจึงเอ่ยขึ้นว่า เราพักกันตรงทุ่งนาบ้านปากอ่างนี่แหละสบายดี เอาฟางมาปูนอนคงสบายดี กลัวเข้าไปในบ้านเขาไม่ได้เพราะหมาดุมาก นายแสนพูดว่าเอามันตรงนี้แหละไม่ต้องหาฟางมาหรอก บนดินนี่แหละสบายดี มานี่เอาหัวมาเรียงกันตามคันนาทำเป็นหมอน ไอ้พวกคนป่วยก็มาก พอบอกว่าเอาตรงนี้ ต่างคนก็จัดการเอาหาบลงจากบ่าลงวางเสร็จ เรียบร้อยแล้วก็ไม่พูดจาอะไรกันมาก ต่างคนต่างล้มตัวลงนอนและหลับไปในที่สุดเพราะความเหนื่อยอ่อนนั่นเอง กลับบ้านเก่า พอรุ่งขึ้นก็พากันออกเดินโซเซไปหาถนนเพื่อคอยรถที่จะเข้าลำปาง คอยแล้วคอยเล่าข้าวก็ไม่ได้กินเพราะที่นั้นตลาดก็ไม่มี อีกอย่างบ้านก็ห่างกันมากไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ จนประมาณสามโมงเช้าจึงเห็นรถคันหนึ่งวิ่งมาจากนครสวรรค์ แต่กลับเป็นรถบรรทุกเสียอีก จึงได้โบกมือแต่ไกลเพื่อให้โชเฟอร์รู้ตัวพอรถวิ่งมาถึงตรงพวกข้าพเจ้ายืนอยู่คนขับก็ถามว่าจะไปที่ไหนละ คนขับรถก็บอกว่าจะขึ้นลำปางเหมือนกัน บรรทุกน้ำส้มไปส่งที่ลำปาง เชิญขึ้นไปด้วยกันเถอะเป็นเพื่อนกันผมจะได้มีเพื่อนเดินทางพอรู้ว่ารถจะไปลำปางก็พากันดีอกดีใจแล้วรีบเก็บหาบของขึ้นรถเรียบร้อยแล้วรถก็วิ่งไปตามถนนลูกรังเข้าสู่นครชุม พอถึงนครชุมทนหิวข้าวไม่ไหวขอร้องให้โชเฟอร์พักที่นครชุมสักสิบนาที เพื่อจะได้กินข้าวกินปลากันเพราะเมื่อวานตอนเย็นพวกข้าพเจ้าไม่ได้กินข้าวกันเลย คนขับรถเขาก็เอาใจ เอาเถอะผมจะคอยก็แล้วกันขอให้พวกแกไปกินข้าวกันตามสบายก็แล้วกันแล้วเราจะได้เป็นเพื่อนกันขึ้นลำปางกันต่อ พวกข้าพเจ้าก็พากันลงจากรถแล้วตรงไปที่ร้านอาหารสั่งข้าวราดแกงมากินกันเพราะอดข้าวมาสองมื้อแล้ว มิหนำซ้ำยังเมื่อยปวดเพราะเดินดงตลอดวัน พอกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยก็รีบจ่ายเงินและเดินมาที่รถ คนขับรถเขาก็นอนคอยอยู่แล้วไม่ว่าอะไรเพราะคนรถส่วนมากถ้าเดินทางไกลเขามีเพื่อนร่วมทางมาก ๆ เขายิ่งชอบ ระยะทางส่วนมากต้องผ่านป่าผ่านเขา เจ้าหน้าที่ก็ไม่ค่อยมี ผู้ร้ายชุกชุม โดยเฉพาะตรงดงสามสิบ ที่นั่นแหละนับว่าชุกชุมมากทีเดียว บางครั้งก็เอาขอนไม้มาขวางถนน แล้วทำการปล้นจึ้กันเป็นประจำ พออปล้นเสร็จไม่กี่วันพวกนี้จะกลับมาอีกเป็นอย่างนี้ประจำ ส่วนที่สลิดยางองค์เป็นรังของเสือ แท้ ๆ รถวิ่งอยู่ประมาณสามชั่วโมงก็เห็นสะพานคลองเจ้า (วังเจ้า) ผ่านคลองเจ้าไปอีกประมาณชั่วโมงเศษ ๆ ก็มาถึงเมืองระแหง (จังหวัดตาก) จึงจอดรถพักกินข้าวที่นั่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว คนขับรถจากเมืองระแหงมุ่งหน้าสู่เถิน พอผ่านดงสามสิบไป ข้าพเจ้านึกเสียวในใจไม่หาย นึกถึงบิดามารดาตลอดทาง เพราะทางมันคดเคี้ยวมาก จนรถพ้นจากดงสามสิบเข้าสู่แม่สลิด แม่พริก แม่สำ แม่ถอด ตลอดเขตอำเภอเถินโดยปลอดภัย (เถินสมัยก่อนเรียนว่า ดอนชัย) รถเข้าถึงอำเภอเถินเวลาประมาณสองทุ่มกว่า จึงต้องร้องขอให้โชเฟอร์จอดรถเพื่อแวะกินข้าวก่อนที่ดอนชัยนั่นเอง ทุกคนต่างก็วิ่งหาข้าวเหนียวพร้อมกับเหมี้ยงทันที เพราะอดมานานเหลือเกิน หลังจากนั้นก็ออกเดินทางต่อไปเข้าสู่อำเภอสบปราบรถขึ้นบนหลังเทินหนทางก็คดเคี้ยวและขลุขละ ต่อจากนั้นก็เข้าสู่วังพร้าวข้ามสะพานแม่จางเข้าสู่เกาะคาเป็นเวลาตีสองพอดี ผ่านเกาะคาแล้วมุ่งเข้าสู่บ้านฮ่อน ระยะทางช่วงนี้ยังดีหน่อยเพราะเขาลาดยางเรียบร้อยแล้ว รถถึงได้วิ่งเต็มที่ไปได้ไม่นานเท่าไหร่ก็เข้าสู่เมืองลำปาง รถเข้าจอดที่สบตุ๋ยพวกข้าพเจ้าและคนขับรถก็พากันนอนที่นั่น เพราะดึกมากแล้ว สดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เมื่อได้ยินเสียงรถม้าวิ่งก๊อกแก๊ก ๆ พวกพ่อค้าแม่ค้าก็หาบของเข้าตลาดสดเพื่อนำมาขาย พวกข้าพเจ้าจึงปลุกกันตื่น เสียงไก่ขันเพราะเป็นเวลารุ่งอรุณแล้ว แสงแดดพุ่งสู่ท้องฟ้า พวกข้าพเจ้าก็จ่ายค่ารถ แล้วเรียกรถม้าสี่ห้าคัน ให้ไปส่งที่ท่ารถที่ ศรีชุม เพื่อจะเข้าไปแม่ทะ แวะซื้อของเล็กน้อยเพื่อเอาไปฝากลูกเมีย เวลา 11.00 น. ได้เวลารถสายบ้านปงออกก็เก็บข้าวของขึ้นรถโกอาน รถวิ่งผ่านบ้านกาดเมฆ ป่าแลว บ้านกล้วย บ้านแพะ แม่ทะ ท่าแหน บ้านเหมี้ยง นาคด บ้านปง บ้านกิ่ว บ้านบอม และถึงบ้านแม่ไทย เป็นเวลาหกโมงเย็นพอดี หลังจากนั้นต่างคนก็ต่างหาบของไปบ้านใครบ้านมันอยู่กับลูกเมียไม่กี่วัน ก็ถึงวันปีใหม่สงกรานต์ เดือนเมษาพอพ้นสงกรานต์แล้วได้สิบกว่าวันก็ปรึกษากันว่า จะกลับไปทำไร่เก็บกิ่งไม่เครือเขาและเตรียมพันธ์ุเต้าแดง เพื่อจะนำไปคลองน้ำไหล เมื่อเตรียมพร้อมกันเรียบร้อยแล้ว พฤษวันยามดีได้เดือนเจ็ดเหนือ แรม 12 ค่ำ ก็ได้เวลาออกเดินทาง วันพุธ ที่ 24 เมษายน 2500 พวกข้าพเจ้าก็พากันเอาข้าวสารขึ้นรถโกอาน ที่บ้านบอม คราวนี้จำนวนคนขาดไปไม่ครบ 30 คน มากัน 24 คน ขาดไป 6 คน เป็นอันว่าไม่มาทำไร่ที่คลองน้ำไหล เพราะกลัวความลำบาก และเจ็บป่วยไข้ บางคนก็กลัวมาตายในดง เพราะหมอรักษาไม่มีที่เหลือก็พากันมาถึงลำปางและต่อรถแม่เลี้ยงซิ้ม มาจังหวัดตาก หลังจากนั้นก็ต่อรถจากตากมากำแพง พวกข้าพเจ้ามาถึงกำแพงเพชร ก็พากันลงรถเข้ามาบ้านของแม่เลี้ยงเพิ่ม เพื่อรอหารถเข้าคลองน้ำไหลประมาณสามสี่วันจึงจะได้รถของตายงค์ แกอยู่นครชุม รถของแกเป็นรถ จิ๊บกลาง ตายงค์ เป็นคนใจดีมาก แกอยู่ขับรถมาตามทางออกจากนครชุม ประมาณแปดโมงเช้า มาพักนอนที่หนองน้ำขุ่น พอรุ่งเช้าก็ออกรถต่อไปเข้าสู่คลองน้ำไหลประมาณหกโมงเย็นพอดี พอมาถึงก็เก็บข้าวของลงจากรถเอาไปฝากไว้ที่บ้านยายจันทร์ แล้วต่างคนก็แยกย้ายกันพักนอนในกระท่อมที่ปลูกกันไว้ พอรุ่งเช้าของวันใหม่ ก็ปรึกษากันว่าไร่เราก็ฟันกันมามากแล้ว เราควรจะมาแบ่งกัน แต่ต้องลากเส้นก่อนว่าจะได้กี่ไร่กี่วา เสร็จแล้วก็เอา 24 หาร ๆ จนหมดเนื้อที่นั่นแหละ หลังจากนั้นก็เอาหลักมาปักไว้ตั้งแต่ 1-24 แล้วเขียนชื่อไว้บนกระดาษเล็ก ๆ พันเหมือนบุหรี่ แล้วเอามาคนผสมกันให้แต่ละคนจับเอา วิธีนี้เรียกว่า จับสลาก ไม่มีการลำเลียงแล้วแต่ดวงถือโชคเป็นเกณฑ์ พอตกลงกันแล้วก็จับได้คนละ 12 วา แต่ความยาวเป็นร้อยกว่าวา ต่อมาก็จัดเป็นกลุ่มเล็ก ๆ อีกคือ 4-5 คน อยู่ด้วยกันกลุ่มหนึ่งปลูกกระท่อมขึ้นตามไร่ของแต่ละคน หลังจากนั้น ก็พากันตั้งหน้าตั้งตาทำไร่กัน วันหนึ่ง ๆ ถางป่าได้แค่ 4-5 วา เท่านั้นเอง เพราะเถาวัลย์มันมากเหลือเกินตาเย็นมาก็ชวนกันจับกลุ่มสนทนาเฮฮากันตามประสา เพราะเรามีกันอยู่แค่นี้ทำอยู่อย่างนี้ครึ่งเดือนกว่า ครูบาเจ้าแห่งคลองน้ำไหล พ.ศ. ๒๕๐๑ พอย่างเข้าเดือนแปดเดือนเก้าประมาณเดือนพฤษภาคม -มิถุนายน หลวงพ่ออินทรวิชัยโย (หลวงพ่อคำมูล) ท่านก็เป็นห่วงโยมของท่านยิ่งกว่าห่วงอะไรเสียอีกอุตสาห์ดั้นด้นรอนแรมมาจนถึงที่พวกเราอยู่ ท่านมากับลูกศิษย์สามองค์ ท่านมาโปรดเมตตาจำพรรษากับพวกข้าพเจ้านานพอสมควร หลวงพ่อคำมูลท่านมีเมตตาต่อญาติโยมของท่าน ไม่มีสิงใดเปรียบเทียบได้เลย ท่านติดตามมาหาพวกข้าพเจ้าก็ไม่มีประสงค์อะไรเลยไร่นาสาโทท่านไม่เกี่ยวอยากมาสร้างบวรพระพุทธศาสนา ขึ้นในป่าดงเท่านั้น เพราะเป็นห่วงพวกข้าพเจ้ากลัวไม่ได้ทำบุญทำทาน และหวังมาคุ้มครองปกปักษ์ รักษาพวกข้าพเจ้าเท่านั้นเอง ก็นับว่าเป็นโชคมหาศาลของพวกข้าพเจ้า จึงได้ทำบุญทำทานมิได้ขาด เมื่อท่านมาถึงพวกข้าพเจ้าก็ช่วยกันจัดแจงทำที่อยู่ที่อาศัยให้ท่าน พออยู่ได้ท่านก็พอใจหลังคาที่ใช้มุงก็ใช้ใบก้อ เพราะหญ้าคาสมัยนั้นหายากมาก เมื่อท่านมีที่อยู่ที่อาศัยแล้วหรือเรียกว่าอารามในครั้งนั้นตรงกับบ้านของนางบึง วงค์เมือง และหน้อยบุญทา ทองสุวรรณ ท่านได้ปรึกษากับพวกข้าพเจ้าว่าเรามาอยู่ดงกันอย่างนี้ เราควรมีพระพุทธรูปถึงจะดี เมื่อท่านเอ่ยขึ้นมาอย่างนั้นแล้ว พวกข้าพเจ้าจึงกราบเรียนว่า จะให้พวกข้าพเจ้าไปหาไม้อะไรที่ศักดิ์สิทธิ์มาขวัก (แกะ) เป็นพระพุทธรูปดี ลุงหน้อยเมืองเอ่ยขึ้นมาทันทีว่า ไม้ข่าต้นไม่ดีหรือ พระคุณเจ้า ท่านจึงถามว่ามันเป็นอย่างไร ไม้ข่าต้นมันหอมหรือเปล่า มันมีกลิ่นเหมือนข่าเรานี่หรือ พวกข้าพเจ้าจึงกราบเรียนท่านว่า เหมือนข่าที่เรากินไม่มีผิดเลย ท่านก็บอกให้พวกข้าพเจ้าไปตัดเอามา เมื่อท่านสั่งดังนั้นแล้วพวกข้าพเจ้าก็พากันไปตัดที่บ้านกระเหรี่ยงปางเหนือ เพราะบ้านเถ้าแก่สูน เขาทำไม้ข่าส่งออกไปขายในเมือง คงเอาไปทำยาหรือเอาไปทำอะไรก็ไม่ทราบ พวกข้าพเจ้าพากันไปเอาที่เป็นเศษไม้ที่เขาตัดทิ้งมาให้ท่านดู ท่านก็ว่าดี หลังจากนั้นท่านก็พยายามแกะด้วยมือของท่านเอง ประมาณหนึ่งสัปดาห์ก็เสร็จเป็นพระพุทธรูปนั่งขัดสมาธิดูสวยงามมาก พระพุทธรูปองค์นี้อยู่ประจำวัดคลองน้ำไหลจนถึงทุกวันนี้ (เป็นพระพุทธรูปองค์แรกของบ้านคลองน้ำไหล) หลวงพ่อท่านก็พาลูกศิษย์ของท่านสวดมนต์แผ่เมตตาให้เจ้าป่าเจ้าเขาเทวาอารักษ์ภูตผีปีศาจ ที่อาศัยอยู่ในป่าดงนั้นให้ได้รับส่วนกุศลด้วยกันทั้งคนและสัตว์ ให้รู้จักรักใคร่สนิทสนมกันนี้คือความเมตตาของท่าน และอานุภาพของท่านคุ้มครองพวกข้าพเจ้าไม่ให้เจ็บไข้ได้ป่วยตลอดมา แต่ก็มีบ้างเป็นธรรมดา พอถึงเดือนสิบก็หยอดข้าวกันส่วนพันธ์ุข้าวบางทีก็พากันไปขอซื้อจากกระ เหรี่ยงมา เพราะพวกเขาทำไร่เป็นอาชีพแต่ทำไม่มากเท่าไหร่ เจ้าหนึ่ง ๆ ก็ประมาณสามถึงสี่ไร่เท่านั้น พันธ์ุที่เอามาจากเขาก็คือ ข้าวโม๊ะโล๊ะ ข้าวมือเด๊ะ มีสองอย่างเท่านั้น ทีแรกพวกข้าพเจ้านึกว่าจะไม่ได้กินเสียแล้ว เพราะไปเห็นเขาหยอดโดย ใช้เสียมบ้าง จอบบ้าง คือเอาเสียมเกลี่ยดินให้กว้างแล้วเอาข้าวหยอดตามหลุม แต่พวกข้าพเจ้าไม่ได้ทำอย่างเขาคือ ใช้ไม้แหลมทำตรงปลายให้กลม ๆ เรียกว่าไม้กระทู้ แล้วแทงลงดินเป็นรู ๆ แล้วหยอดเม็ดข้าวลงไปในรูนั้นราว 4-5 เม็ด ถ้าหากบ้านไหนหยอดก็พากันไปช่วยเจ้านั้นก่อน 20 กว่าคนวันเดียวก็เสร็จทำอย่างนี้ทีละเจ้า เมื่อหยอดข้าวไร่เสร็จแล้วก็เตรียมดายหญ้าเอาใจใส่ดูแล บางคนก็ไปหารับจ้างตัดไม้ของเถ้าแก่สูน บางคนก็ไปรับจ้างตักน้ำมันยางเพื่อเอาเงินมาใช้จ่ายระหว่างเก็บเกี่ยวข้าวไร่ พอถึงเวลาเก็บเกี่ยวข้าวไร่พวกข้าพเจ้าก็พากันไปตัดไม้ขี้มอด มาปลูกยุ้งข้าวไว้ โดยผ่าไม้เป็นซีก ๆ แล้วสานเป็นเสวียน แล้วเอาขี้ควายมาผสมดินอุดตามรู พอใช้ได้ไปชั่วคราว สำหรับขี้ควายนั้นก็ไปขอที่บ้านผู้ใหญ่เชียงฝันหรือไม่ก็ไปเก็บเอาตามที่พักของล้อเกวียนขนน้ำมันยาง และเก็บฟักแฟงแตงโม พริกหนุ่ม มะเขือ บริเวณนั้น กินจนไม่หวั่นไม่ไหวทิ้งไว้ตามไร่นาเกลื่อนไปหมด ถ้าจะกินเนื้อกวางก็นัดกันไปยิงตามป่าซากไม่กี่ชั่วโมงก็ได้ พวกข้าพเจ้านึกว่าอยู่ในป่าหิมพานต์เสียอีก ผลหมากรากไม้ เนื้อปลาไม่มีอด เสียแต่อย่างเดียวคอยจะเป็นไข้ป่ากัน วันไหนครั่นเนื้อครั่นตัวต้องวิ่งไปโปร่งน้ำร้อนไปตามหมอปวน สิงห์สร้อย ซึ่งเป็นน้องชายของพ่ออ้าย สิงห์สร้อย มารักษา พูดถึง “หมอปวน”แกเป็นคนใจดีมากพวกข้าพเจ้าเดือดร้อนทีไรไปขอความช่วยเหลือจากแกเป็นประจำ ไม่มีเลยที่จะไม่มา ท่านคิดดูซิว่าจากคลองน้ำไหลถึงโปร่งน้ำร้อนต้องเดินลัดป่าใช้เวลานานหกถึงเจ็ดชั่วโมง พอไปถึงบ้านหมอปวนต้องค้างคืนที่นั่นหนึ่งคืน รุ่งเช้าจึงจะออกเดินทางกลับมาคลองน้ำไหล พอมาถึงหมอปวนก็จัดแจงฉีดยา พอถึงตอนนี้ทุกก็อยากฉีดยากันทั้งหมด เพื่อป้องกันไข้ป่า ท่านก็เป็นคนใจดี ฉีดยาให้ มีเท่าไหร่ก็หมดจนไม่เหลือในกระเป๋า แต่หมอปวนหาได้เงินไม่ คนไหนก็ขอติดไว้ก่อน ท่านไม่ว่าอะไรเพียงแต่หัวเราะฮึ ฮึ เท่านั้นเอง บางครั้งแกอดปากไม่ไหวก็พูดขึ้นมาว่า “กูมาหาสู ต้องเอายาบรรทุกล้อมาก่อนจึงจะชนะฉีดยาสู” พูดแล้วก็หัวเราะต่อ บุญคุณของหมอปวนจะหาอะไรเปรียบเทียบไม่ได้เลย พวกข้าพเจ้าขอจดจำไว้ตลอดชีวิต พูดถึงเดินทางออกไปตัวจังหวัดระหว่างเดือนเก้าเดือนสิบหลังจากหยอดข้าวไร่เสร็จแล้ว อยากจะไปซื้อของในเมือง พูดกันง่าย ๆ อยากไปเปิดหูเปิดตาก็ชวนกันไปทีละสี่ห้าคน เดินตั้งแต่เช้ามืด ได้พบกับช้างป่ายืนอยู่ กลางทางเป็นฝูง ๆ พวกข้าพเจ้าก็ตะโกนให้เสียงดังมัมก็วิ่งหนีเข้าป่าไป กลัวก็กลัวแต่ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนเพราะมีเส้นทางเดียวเท่านั้น อดส่าหลับหูหลับตาเดินไปจนทะลุบางครั้งก็ได้ยินเสียงช้างร้อง เสียงชะนีร้องอย่างน่ากลัว บางครั้งเจอยุงมันร้ายจริง ๆ กัดก็เจ็บ ขณะเดินอยู่มันยังบินไล่กัดเรา การเดินทางของข้าพเจ้าสมัยนั้นออกจากคลองน้ำไหลก็จะถึงคลองปินโตผ่านคลองใหญ่ หนองน้ำขุ่น เข้าหนองปิ้งก่า ผ่านยางเลียง หนองกวางดง เข้าสู่ปากอ่างตลาดซอแซ เป็นเวลาทุ่มแล้วต้องนอนที่นั่น รุ่งเช้าต้องเดินจากปากอ่างไปนครชุมอีกเก้ากิโล เพราะสมัยนั้นไม่ค่อยมีรถเลยก็มีเป็นพวกรถบรรทุกนาน ๆ จะผ่านมาคันหนึ่ง พอเข้าไปถึงตัวเมือง ต่างคนต่างแยกย้ายกับไปซื้อของ ซื้อของเสร็จก็นัดกันเพื่อเตรียมตัวกลับ กำเนิดคลองน้ำไหล ปี 2501 ย่ำเข้ามาพวกญาติที่ลำปางก็ทยอยกันเข้ามาทีละ 5- 6 ครอบครัว ข้าพเจ้าก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน แต่ชาวบ้านไม่ได้แต่งตั้งหรอกพวกคนเฒ่าคนแก่พาข้าพเจ้าไปอำเภอ (เมือง) ทางอำเภอแต่งตั้งข้าพเจ้าเองแต่สังกัดในการปกครองของผู้ใหญ่เชียงฝัน ข้าพเจ้าเมื่อได้รับตำแหน่งก็พาชาวบ้านพัฒนาหมู่บ้านมาตลอด วันเสาร์ ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2501 ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 3 ได้ย้ายวัดจากเดิมมาอยู่ที่บ้านยายจันทร์ ปี 2502 ก็สร้างโรงเรียนขึ้นมา 1 หลัง มี 2 ห้อง ตั้งอยู่หมู่ที่ ๑ บ้านคลองน้ำไหลเหนือปัจจุบัน ผู้คนก็อพยพมาอีก 14 ครอบครัว เด็กก็เพิ่มขึ้นมาอีก 30 กว่าคน พอที่จะขอครูได้แล้ว ก็พากันไปร้องขอที่อำเภอเมือง ท่านก็จัดให้มา 1 คน ครูคนแรกที่มาอยู่ชื่อ ครูสมนึก มาทำการสอนอยู่ประมาณสองสามปีแกก็ลาออกทางอำเภอก็สั่งครูเข้ามาแทนอีกชื่อ ครูธีระพล ธีระพานิจ เข้ามาสอนต่อมาผู้คนก็ทยอยกันเข้ามาอยู่ทุกปี คือ ปี 2503 เข้ามาอีก 24 ครอบครัว ปี 2504 เข้ามาอีก 13 ครอบครัว ปี 2505 เข้ามาอีก 32 ครอบครัว ปี 2506 เข้ามาอีก 23 ครอบครัว เข้ามาทุกปีไม่ขาด พวกที่อพยพเข้ามาส่วนมากมาจากลำปางเป็นส่วนใหญ่นอกจากนั้นก็มีพวกแม่สอดบ้าง แพร่บ้างนครสวรรค์บ้าง เกือบทุกจังหวัดแต่มีคนลำปางมากกว่าจนตั้งเป็นหมู่บ้าน ถือประเพณีภาคเหนือเป็นหลัก ต่อมาทางการก็ไม่นิ่งนอนใจ เด็กมากขึ้นก็ส่งครูใหญ่เข้ามาอีก 1 คน ชื่อ นายทัน แจ้งไพร มาเป็นครูใหญ่พร้อมทั้งให้งบประมาณสร้างอาคารเรียนขึ้น 1 หลังมี 4 ห้อง เป็นเงินอยู่ 35,000 บาท ทางการก็คอยเอาใจใส่อยู่และติดตามดูแลถามข่าวคราวอยู่เสมอเมื่อสร้างอาคารเสร็จท่านก็ส่งครูเข้ามาอีก ชุดที่สาม มีนายบุญเลิศ ธิสาเวช นายสำเนียง บุญเจริญ นายสมชาติ พละวุฒิโท และนายวิทยา ท่านส่งครูมาทำการสอนเรื่อยไปไม่ขาดเมื่อมีอาคารแล้วขาดรั้วโรงเรียน ข้าพเจ้าก็ได้คนหัวดีเข้ามาช่วยอีกแรงหนึ่ง เป็นเชื้อชาติจีน คือนายเอี๊ยะ แซ่อึ้ง เป็นคนสนับสนุนออกหัวคิดสร้างรั้วโรงเรียนจนสำเร็จ กล้าเสียสละเวลาและทรัพย์ส่วนตัวเพื่อซื้ออุปกรณ์ เช่น ไม้ซี่รั้ว ตะปู ทุกอย่างแกออกของแกเองหมดทั้งสี่ด้าน ข้าพเจ้าพร้อมชาวบ้านก็ช่วยกันสร้างจนสำเร็จและได้จัดงานฉลองขึ้น หาลิเก รำวง มาให้ชาวดงดู ครั้งแรกเก็บค่าผ่านประตูคนละ 1 บาท สุดท้ายใช้ค่ารำวงและลิเกไม่พอ นายเอี๊ยะ ยอมควักกระเป๋าตนเอง ใช้หนี้อีก 900 บาท นับว่าบุคคลผู้นี้มีบุญคุณต่อโรงเรียนและบ้านคลองน้ำไหลมาก ต่อมาโรงเรียนก็ขยายกว้างพอสมควรแล้ว สนามก็แคบเพราะเป็นที่พักของสงฆ์ไปเสียครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงได้ปรึกษากับหลวงพ่อคำมูลว่าเราควรย้ายวัดไปอยู่ฝั่งโน้น เพราะนี่เป็นโรงเรียนใหญ่แล้ว สนามเด็กเล่นก็แคบ อีกอย่างก็เสียงดังไปด้วยเพราะเด็กเรียนหนังสือ หลวงพ่อท่านไม่ชอบเสียงดังพลุกพล่านด้วยผู้คน ข้าพเจ้าก็ประชุมชาวบ้านขอแรงแผ้วถางที่วัดฝั่งคลองจัดการโค่นต้นยางพร้อมกับร้องขอที่ไร่เก่าของพ่อเสาร์ ผื้อยศ นายเสาร์ กองวงค์ นายกิ้น ชนะภู นายเสาร์ มาลัย 4 ท่านด้วยกัน บุคคลเหล่านี้เป็นคนใจบุญใจกุศลยอมเสียสละที่ ให้สร้างวัดโดยไม่ขัดข้อง ข้าพเจ้าขอยกย่องบุคคลทั้งสี่ท่านนี้ไว้ในประวัติด้วย เพราะท่านเป็นผู้ที่เสียสละอย่างแท้จริง เนื้อที่อีกส่วนหนี่งเป็นของทิดลอย (ที่บ้านของนางเล็กในปัจจุบัน) ทิดลอยนี้แกก็สละที่ให้วัดด้วยเช่นกัน พออย่างเข้าเดือนมกราคม เดือน 4 เหนือ ขึ้น 8 ค่ำ วันพฤหัสบดี ได้ฤกษ์ดีแล้วหลวงพ่อก็บอกให้พระเณรย้ายที่อยู่ที่นอนย้ายไปอยู่ฝั่งคลอง พวกทายกก็พากันลื้อถอนกุฏิไปปลูกเหมือนเดิม แต่หลังคามุงด้วยกระเบื้องไม้สัก (แป้นเกล็ด) ปี พ.ศ. 2511 ผู้ใหญ่เชียงฝันก็ลาออกจากผู้ใหญ่บ้านพวกชาวบ้านก็แต่งตั้งข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่แทนตั้งแต่บัดนั้นมา ปี พ.ศ. 2513 ข้าพเจ้าพร้อมพวกชาวบ้านก็ได้ปรึกษากันว่าจะย้ายโรงเรียนขึ้นมาสร้างติดกับวัด เพราะได้สงวนที่ไว้เพื่อสร้างโรงเรียน ทางการก็ให้อาคารประถมปีที่ 5-7 เข้ามาสร้างที่คลองน้ำไหล ต่อมาอาคารหลังนี้กองสลากกินแบ่งรัฐบาลให้งบประมาณมาสร้าง 120,000 บาท ผ่านกำนันที่อยู่ตำบลโปร่งน้ำร้อน ส่วนทางวัดพวกข้าพเจ้าพร้อมทั้งชาวบ้านได้สร้างศาลาที่ทำบุญและสร้างกุฎิขึ้นมาสองหลัง การคมนาคาก็ตัดถนนหนทางทุกสายในเขตบ้านคลองน้ำไหล มีการขุดเหมืองกั้นทำนบ 4-5 แห่งเท่าที่ใช้กันอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้ ต่อมาชาวบ้านได้พร้อมใจกันสร้างเจดีย์ขึ้นหนึ่งหลัง ครั้งแรกหมดเงินไป 25,000 บาท แต่ยังไม่สำเร็จ เพราะขาดเงินทุนและปัจจัยหลายอย่างนอกจากนี้แล้ว พวกพ่อเลี้ยงทำไม้ยางได้ตัดถนนจากคลองใหญ่เข้ามาสู่บ้านคลองน้ำไหลให้ตรง และสะดวกขึ้น หลังจากนั้นการพัฒนาบ้านคลองน้ำไหล ก็พัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ ผู้คนก็อยู่กันอย่างมีความสุข พอมาถึงวันอังคารแรม 13 ค่ำ เดือน 4 ข้าพเจ้าก็ได้ปรึกษาหารือกับผู้เฒ่าผู้แก่พร้อมทั้งชาวบ้านว่าจะสร้างเจดีย์ต่อไปเพื่อเป็นที่ไว้สักการบูชา พวกชาวบ้านก็ตกลงพร้อมใจกันสร้าง ข้าพเจ้าจึงเขียนจดหมายถึงพระครูอินทรวิชัย (หลวงพ่อคำมูล) วัดพระบาทแม่ไท อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง องค์ที่มาสร้างวัดคลองน้ำไหล ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ข้างต้น หลวงพ่อเมื่อได้รับข่าวท่านก็ลงมาช่วยและอนุญาต ให้สร้างเหรียญของท่านเพื่อหารายได้สมทบสร้างเจดีย์ เหรียญของหลวงพ่อนั้นสร้างขึ้นทั้งหมด 3,200 เหรียญ หมดค่าใช้จ่ายไป 5,270 บาท พอพิมพ์เป็นเหรียญได้แบ่งให้หลวงพ่อนำไปบูรณะวัดพระบาทแม่ไท จำนวน 1,000 เหรียญ เอาไว้สร้างเจดีย์วัดคลองน้ำไหลจำนวน 2,200 เหรียญ ประมาณเดือน 12 เพ็ญ (เดือนยี่เป็ง) ก็รวบรวมเงินได้จากการจำหน่ายเหรียญ ได้เงินหนึ่งหมื่นสองพันกว่าบาท พอถึงเดือนสี่เหนือ หลวงพ่อท่านก็ได้ลงมาจากลำปางเพื่อควบคุมการหล่อเจดีย์ตลอดเวลาถึงเดือน 8 เหนือ วันที่ 31 เจดีย์ก็ได้พังลง การก่อสร้างจึงได้หยุดชะงักไปพักหนึ่ง ปี พ.ศ. 2517 ข้าพเจ้าก็ได้ลาออกจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านแต่การพัฒนาหมู่บ้านและวัดคลองน้ำไหลก็ต้องสร้างต่อไปเพื่อให้เจริญขึ้นมาเรื่อย ๆ มีสิ่งก่อสร้าง บ้านเรือนตลอดจนถนนหนทางตัดผ่านหมู่บ้านต่อหมู่บ้านหลายสาย การทำมาค้าขายก็เจริญขึ้นมาเป็นลำดับ อนึ่ง ประวัติของข้าพเจ้า วัดคลองน้ำไหล บ้านคลองน้ำไหลและโรงเรียนบ้านคลองน้ำไหล ถนนหนทาง ไร่นา เหมืองฝายและอื่น ๆ อีกมากที่ข้าพเจ้าไม่ได้หยิบยกเอามาพูดในที่นี้ยังมีอีกหลายประการ ข้าพเจ้าขอพึ่งคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์เทพบุตรเทวดารักษาในเขตบ้านคลองน้ำไหลขอจงปกปักรักษาตัวข้าพเจ้าและครอบครัว ชาวบ้านคลองน้ำไหลและท่านทั้งหลายที่เป็นเจ้าของหนังสือประวัติบ้านคลองน้ำไหลเล่มนี้ จงประสบแต่ความสุขความเจริญด้วยกันทุกท่านเทอญ.